รับข่าวสาร

Guest book

จำนวนผู้เข้าชม : 520510 ขนาดอักษร เปลี่ยนการแสดงผล C C C

รับข่าวสาร

Guest book

เกี่ยวกับเรา

หน้าหลัก >> เกี่ยวกับเรา
ประวัติสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์

เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ.2463 ได้มีประกาศของจอมพลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต อุปนายกผู้อำนวยการสภากาชาดไทย ให้ตั้งกองบรรเทาทุกข์ขึ้น เพื่อช่วยมหาชนทั่วไปไม่ว่าชาติใด ภาษาใด ซึ่งได้รับความทุกข์ยากจากอุทกภัย อัคคีภัย และอุบัติภัย ทั้งยากปรกติและยามสงคราม และได้ทรงแต่งตั้งนายพันเอก พระศักดาพลรักษ์ (พลตรีพระยาดำรงแพทยาคุณ) เป็นผู้อำนวยการคนแรก ในระยะแรกการดำเนินงานของสภากาชาดสยาม แบ่งเป็น 5 กอง คือ 1. กองพยาบาล 2. กองวิทยาศาสตร์ 3. กองอนามัย 4. กองบรรเทาทุกข์ และ5. กองอนุสภากาชาด 
               
นายพันเอก พระศักดาพลรักษ์
 ผู้อำนวยการคนแรก
นายพันเอก  พระศักดาพลรักษ์
พ.ศ. 2474 รวมกองโรงพยาบาลเข้ากับกองบรรเทาทุกข์ เรียกชื่อใหม่ว่ากองบรรเทาทุกข์และอนามัย ตามหลักสภากาชาดสากล

พ.ศ. 2475 รวมกองอนามัยเข้ากับกองบรรเทาทุกข์และอนามัย จึงมีกองแยกเพียง 3 กอง คือ 1. กองบรรเทาทุกข์และอนามัย 2. กองวิทยาศาสตร์ และกองอนุสภากาชาด

พ.ศ. 2483-2484 เกิดกรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศส สภากาชาดไทย ได้มีการตั้งสถานีบรรเทาทุกข์ที่ชายแดน ทางฝั่งแม่น้ำโขง เพื่อช่วยเหลือผู้อพยพอินโดจีน และเพื่อช่วเหลือประชาชนที่ได้ผลกระทบทางด้านอีสาน และบูรพา ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีสถานพยาบาลใด ๆ เลย
 
พ.ศ. 2485 เกิดสงครามมหาอาเซียนบูรพา กองบรรเทาทุกข์และอนามัย (โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ อยู่ในกองแยกนี้) ทำหน้าที่บรรเทาทุกข์ทั้งทางเรือ ทางบก และทางอากาศ ต้องใช้เรือ เป็นพาหนะแยกย้ายกันบรรเทาทุกข์ ราษฎร ทหาร ตำรวจสนาม ยุวชนทหาร ฯลฯ แจกข้าวอาหาร และสถานีบรรเทาทุกข์ 5 ชุด เมื่อเครื่องบินโจมตีได้ออกทำการรับผู้บาดเจ็บมารักษาตัวที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
   
พ.ศ. 2487 ตลอดเวลาของสงครามมหาเอเชียบูรพา 4 ปี มีการบรรเทาทุกข์ และรักษาพยาบาลทุกคนโดยไม่เลือกมิตรหรือศัตรูรวมทั้งสิ้นกว่า 2 ล้านคน
 
พ.ศ. 2488 เป็นปีสุดท้ายแห่งมหาสงคราม บทบาทของกองบรรเทาทุกข์ และอนามัย ในนามของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้ทำหน้าที่อย่างหนักในการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ และพักฟื้น จำนวนมาก และประสบปัญหาต่าง ๆ ในการฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อคงไว้ซึ่งมนุษยธรรม และความเป็นกลางอย่างแน่วแน่
  
 
นับแต่ปี พ.ศ. 2488 บทบาทของกองบรรเทาทุกข์และอนามัยจะเน้นหนักไปในเรื่องการพัฒนาองค์กร บูรณะอาคาร สถานที่ การรักษาพยาบาลและการบรรเทาทุกข์ประชาชนภายในประเทศที่ยากจนที่อยู่ห่างไกลความเจริญมากขึ้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงให้ความสำคัญกับการส่งเสริมพัฒนา รวมทั้งทรงสร้างสัมพันธภาพกับประเทศสมาชิกของสหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ อีกทั้งทรงเอาพระทัยใส่กิจกรรมของสภากาชาดไทยอย่างใกล้ชิด อันนำมาซึ่งความเจริญก้าวหน้าในปัจจุบันนี้

19 มกราคม พ.ศ. 2498 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระบรมราชูปถัมภกสภากาชาดไทย ทรงเสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธีพระราชทานเรือ "เวชพาหน์" ณ ท่าวาสุกรี (ขนาดเรือ ยาว 1519 เมตร กว้าง 3.81 เมตร ลึก 0.85 เมตร) เพื่อให้สภากาชาดใช้เป็นหน่วยเคลื่อนที่รักษาราษฎร ที่ตั้งบ้านเรืออยู่ริมฝั่งแม่น้ำโดยจ่ายพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ซึ่งสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันได้ปฏิบัติถวายงานตามพระราชประสงค์เป็นที่ปลื้มปิติแก่ราษฎรที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่เปรียบมิได้ และเป็นความภาคภูมิใจของชาวบรรเทาทุกข์ฯ มาช้านาน

เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2515 ยกเลิกกองบรรเทาทุกข์และอนามัย แยกเป็น 1. กองบรรเทาทุกข์ 2. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ 3. โรงพยาบาลสมเด็จ ณ ศรีราชา ขึ้นตรงต่อสภากาชาดไทย ดังนั้นก่อนปี พ.ศ. 2515 สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา จึงมีประวัติศาสตร์สำคัญร่วมกันมากมาย ซึ่งในการแบ่งครั้งนี้ ทำให้กองบรรเทาทุกข์มีภารกิจที่แคบลงและเน้นงานบรรเทาทุกข์ชัดเจนขึ้น
   
พ.ศ. 2515 กองบรรเทาทุกข์ ประกอบด้วย 3 แผนกบรรเทาทุกข์ แผนกสถานีกาชาด และแผนกสถานพักฟื้นสวางคนิวาส มีหน้าที่ สงเคราะห์ผู้ตกทุกข์ได้ยากในเหตุการณ์สาธารณภัยพินาศ และประชาชนในท้องถิ่นทุรกันดาร ตลอดถึงการประชานามัยพิทักษ์ การอนามัยศึกษา การสอนปฐมพยาบาลฝึกเจ้าหน้าที่เพื่อการบรรเทาทุกข์ และสะสมพัสดุ ยา และเวชภัณฑ์ ไว้สำหรับยามฉุกเฉิน

พ.ศ. 2519 งานในกองบรรเทาทุกข์ มีภารกิจในด้านธุรการมากขึ้น จึงได้เพิ่มแผนกธุรการขึ้นอีกแผนกหนึ่ง เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2519

พ.ศ. 2528 เพื่อความเหมาะสมกับปริมาณงาน และให้ครอบคลุมภารกิจที่ต้องรับผิด จึงได้มีการปรับโครงสร้างเพิ่ม แผนกยาและเวชภัณฑ์ รวมเป็น 5 แผนก เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2528

พ.ศ. 2530 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดอาคารสำนักงานใหม่ กองบรรเทาทุกข์ เป็นอาคาร 6 ชั้น ซึ่งตั้งอยู่ในสถานเสาวภา เลขที่ 1871 ถ.อังรีดูนังต์ แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 อย่างเป็นทางการ
 
 
พ.ศ. 2541 ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับสภากาชาดไทย ว่าด้วยกิจการของสภากาชาดไทยให้เหมาะสม โดยเปลี่ยนชื่อเป็นสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ โดยมีกิจการในสำนักงานเป็น 6 ฝ่าย คือ 1. ฝ่ายบริหารงานทั่วไป 2. ฝ่ายบรรเทาทุกข์ 3. ฝ่ายสถานีกาชาด 4. ฝ่ายยาและเวชภัณฑ์ 5. สถานีกาชาดหัวหินเฉลิมพระเกียรติ 6. สถานพักฟื้นสวางคนิวาส ทั้งนี้สถานีกาชาดที่ 10 ได้รับการยกฐานะเทียบเท่าฝ่ายและเปลี่ยนชื่อเป็น สถานีกาชาดหัวหินเฉลิมพระเกียรติ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541 

7 พฤษภาคม พ.ศ. 2541 ได้มีพิธีการเปิดศูนย์จักษุมาตรและแว่นตาสภากาชาดไทย เพื่อให้บริการตรวจวัดสายตาประกอบแว่น และให้คำปรึกษาแนะนำผู้ที่มีความผิดปรกติทางด้านสายตาอย่างถูกต้องและตามหลักวิชาการในความดูแลของจักษุแพทย์ จัดจำหน่ายแว่นตาและอุปกรณ์ โดยนำรายได้ส่วนหนึ่งมาสงเคราะห์ผู้ด้อยโอกาสที่มีปัญหาทางสายตา 
             
พ.ศ. 2542 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธาน ในพิธีเปิดศูนย์บรรเทาทุกข์ผู้ประสบอุทกภัยในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และพระราชทานนามว่า "ศูนย์สภากาชาดไทยเวชพาหน์เฉลิมพระเกียรติ" ตั้งอยู่ที่ริมแม่น้ำน้อย ต.บางจัก อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง เมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2542 ปัจจุบันสำนักงานบรรเทาทุกข์ ได้ส่งหน่วยแพทย์ไปปฏิบัติงานเป็นประจำทุกเดือน เดือนละ 2 วัน มีผู้มาใช้บริการเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะการฝังเข็ม 
             
1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย ทรงให้ปฏิญญาไว้ ณ กรุงเจนีวา ดังที่อัญเชิญมาดังนี้
 
"To establish a The Red Cross Disaster Operation Center in coordination with related agencies to meet the standards of excellence in disaster preparedness and responses, as well as to meet the humanitarian need of displaced persons fleeing from armed conflicts."
 
เพื่อสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ จึงได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการภัยพิบัติ สภากาชาดไทย ณ ชั้น 2 อาคารเทิดพระเกียรติสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฒโน) เมื่อพ.ศ. 2544 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 
  • เป็นศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน
  • เป็นศูนย์สื่อสาร ประสานงาน ติดตาม และประเมินสถานการณ์ภัยพิบัติ 
  • เป็นศูนย์รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสาธารณภัย และอุบัติภัยทั้งปวง 
  • เป็นศูนย์วางแผน และสั่งการในการรับภัยพิบัติของสภากาชาดไทย

23 มีนาคม พ.ศ. 2543 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินเป็นประธานในพิธีเปิดอาคารเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระญาณสังวร(เจริญ สุวฑฒโน) ซึ่งเริ่มก่อสร้าง เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2540 แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2542 โดยมีบางส่วนเป็นที่ทำการของสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ (ผู้บริหาร ศูนย์ปฏิบัติการภัยพิบัติ และฝ่ายบริหารงานทั่วไป) โดยสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช เสด็จทรงวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2540 เวลา 13.30 น.
 

© สงวนลิขสิทธิ์ สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย